วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561

การจำหน่าย (ตลาด)



เทคนิคการขาย




ปัจจุบันธุรกิจการค้าขายเกิดขึ้นมากมาย แข่งขันทั้งในโลกออนไลน์และเปิดหน้าร้านที่มีผู้ซื้อ-ผู้ขายเห็นหน้ากัน ทั้งนี้เพราะการค้าขายถือเป็นอาชีพอิสระที่ผู้ขายสามารถกำหนดตัวเองได้ว่าจะขายวันไหน ตอนไหน ขายอะไร ที่สำคัญคือเป็นนายตัวเอง คู่แข่งเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สุดท้ายเราต้องให้เหนือคู่แข่งให้ได้โดยการอัดประกาศเช่นโพส dealfish,pantipmarket,be2hand,bigshopping โปรแกรม โพสเว็บ Classified โฆษณาทำให้สินค้าหรือบริการของเราให้ผู้ที่สนใจเห็นมากขึ้น จึงตอบโจทย์แต่การขายก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จทุกราย บางรายก็ต้องขาดทุนย่อยยับ ในขณะที่บางรายก็รายได้ดีกว่างานประจำหลายเท่า นอกจากจะเกี่ยวกับตัวสินค้า กลุ่มลูกค้าแล้ว ตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยให้การขายประสบความสำเร็จคือ ผู้ขายจะต้องมี “เทคนิคการขาย” นั่นเอง
เทคนิคการขาย คือ กลวิธีที่ผู้ขายโน้มน้าวใจให้ผู้ซื้อด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งในด้านการสื่อสาร การโฆษณา เช่น ลงประกาศฟรีเป็นช่องทางเพิ่มยอดขาย เป็นต้น ส่วนใหญ่จะอาศัยหลักทางจิตวิทยา โดยมีจุดมุ่งหมายคือให้ผู้ซื้อ ซื้อสินค้าของตน และปิดการขายได้เร็ว ดีและตรงตามที่ต้องการ ซึ่งวันนี้จะนำเทคนิคการขายดีๆ ที่จะช่วยให้การขายของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้นมาฝากดังนี้
1)เทคนิคที่ต้องใส่ใจก่อนการซื้อขาย
แม้จะยังไม่มีการขายเกิดขึ้น แต่ในช่วงขั้นตอนก่อนขายเกิดขึ้นก็สำคัญอย่างมาก เพราะถ้ามีการเริ่มต้นที่ดี สิ่งที่ตามมาก็จะดี สร้างความประทับใจในการซื้อขายได้ ซึ่งในหัวข้อเทคนิคนี้ มีดังนี้
1.1 หาช่องทางการขายที่เหมาะสม
ช่องทางการขาย คือ ลู่ทางหรือหนทางที่เราจะกระจายสินค้าไปสู่ผู้บริโภค ดังนั้นก่อนขายสินค้าทุกครั้ง ต้องถามตัวเองก่อนว่าเราขายอะไร ผู้บริโภคเป็นใคร และสำคัญที่สุด คือ จะมีช่องทางการขายยังไงบ้าง การเลือกช่องทางการขายที่ถูก จะช่วยให้เราได้ลูกค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ลองพิจารณาจากตัวอย่างนี้ดูค่ะ
นางสาวส้มโอและนางสาวแตงโม ต้องการขายคอนแท็กเลนส์ และบิ๊กอายส์ นางสาวส้มโอเลือกขายทางอินเทอร์เน็ต ส่วนนางสาวแตงโมขายที่ตลาดนัดหลังโรงงาน
จากตัวอย่างนี้พอจะมองออกไหมว่าใครจะขายได้ดีกว่ากัน?? ไม่ต้องคิดนานหรอกค่ะ แน่นอนอยู่แล้วว่านางสาวส้มโอต้องขายดีกว่า เพราะสื่ออินเทอร์เน็ตเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของสินค้าประเภทบิ๊กอายส์ได้มากกว่า ส่วนตลาดนัดหลังโรงงาน ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นสาวโรงงานซึ่งหลุดออกจากกลุ่มเป้าหมายไปไกลมาก นอกจากนี้การขายในอินเทอร์เน็ตยังสามารถโชว์รูปและรายละเอียด ให้เวลาลูกค้าตัดสินใจได้ ในทางกลับกันหากต้องการขายมือถือ การขายในอินเทอร์เน็ตก็คงไม่เหมาะ เพราะมือถือเป็นของมีราคา ควรได้สัมผัสของจริงก่อนการซื้อขาย ทีนี้เริ่มเห็นความสำคัญของช่องทางการขายหรือยังล่ะ??
1.2 จัดเตรียมโปรโมชั่นกระตุ้นการซื้อ
เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมเวลามีป้ายเซลล์ทีไร คนมักวิ่งเข้าหาทุกที เพราะนี่เป็นโปรโมชั่นซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการตลาดนั่นเอง โปรโมชั่น คือ ข้อเสนอพิเศษสำหรับการซื้อขาย โดยหลังจากที่ได้ช่องทางการขายแล้ว ให้เริ่มจัดเตรียมโปรโมชั่นทันที การจัดเตรียมโปรโมชั่นแทบจะทำได้ทุกเทศกาลหากเราสามารถนำมาประยุกต์ได้ เช่น ฉลองเปิดร้านใหม่, วันปีใหม่, วันวาเลนไทน์, ฉลองร้านครบ 1 ปี เป็นต้น
เชื่อว่าแม่ค้าหลายคนไม่ชอบการจัดโปรโมชั่น เพราะกลัวขาดทุน แต่อยากให้ลองคิดดูดีๆ ว่าโปรโมชั่นทำให้เราขาดทุนจริงหรือ??
โปรโมชั่นเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาดูสินค้ามากขึ้นและมีโอกาสที่จะซื้อมากขึ้นด้วย เช่น ปกติขายราคา 300 บาท จัดโปรโมชั่น 2 ชิ้น 550 บาท ถึงจะดูว่าเราขาดทุนในส่วนของกำไรไป 50 บาทก็จริง แต่เราสามารถขายได้จำนวนเงินมากกว่า หากมีคนซื้อ 2 ชุด เราก็ได้แล้ว 1100 บาท ยิ่งขายได้หลายชุดก็จะกำไรมากยิ่งขึ้น เป็นต้น
สำหรับโปรโมชั่นที่นิยมนำมาเป็นเทคนิคการขาย มีทั้ง โปรซื้อ1 แถม 1, โปรลดราคา, โปรราคาพิเศษในช่วงวันพิเศษ, โปรสมาชิก, โปรสะสมแต้ม เป็นต้น วิธีในการตั้งโปรโมชั่นจึงขึ้นอยู่กับสินค้า ราคาและผลกำไรของสินค้านั้นๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งกับผู้ซื้อและผู้ขาย
1.3 สร้างความน่าเชื่อถือให้ร้านค้า
วิธีการสร้างความน่าเชื่อถือให้ร้านค้า สามารถทำได้โดยการโฆษณา การรีวิวของผู้ซื้อ เพื่อให้คนอื่นรู้จักร้านเรา(ในแง่ดี)มากขึ้น โดยทั่วไปการสร้างความน่าเชื่อถือจะหนักไปที่การขายสินค้าที่มีคุณภาพ แม่ค้ามีจรรยาบรรณ ความรวดเร็วในการบริการ สิ่งเหล่านี้ถ้าลูกค้าได้รับความพึงพอใจก็นิยมนำไปบอกต่อกัน
2) เทคนิคการขายระหว่างทำการซื้อขาย
เทคนิคในการขายสามารถนำมาใช้ในช่วงที่มีการขายได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับทักษะและการนำมาใช้ ซึ่งการขายไม่ว่าจะเป็นทางออนไลน์หรือหน้าร้าน ก็มีเทคนิคที่ไม่ต่างกัน ดังนี้
2.1 ให้ข้อมูล แนะนำในสิ่งที่ดี
หลายครั้งที่ลูกค้ามีความสนใจในสินค้า แต่ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น หรืออยากสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าชนิดนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าในกลุ่มอาหารเสริม เครื่องบำรุงผิว เครื่องสำอาง เช่น วิตามินตัวนี้กินตอนไหน, เป็นคนหน้าแห้งใช้ครีมตัวไหนดี เป็นต้น ลูกค้ากลุ่มนี้เป็นลูกค้าที่มีกำลังในการซื้อและตั้งใจที่จะหาซื้อสินค้าจริงๆ ดังนั้นเทคนิคส่วนนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทำหน้าที่แม่ค้าที่ดี ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและตอบคำถามด้วยความเต็มใจ เช่น ลูกค้าหน้าแห้งก็ต้องแนะนำครีมที่มีความชุ่นชื้นและควรแนะนำของที่มีคุณภาพ เพราะถ้าหากลูกค้าแพ้ทีหลัง เราเองที่จะซวยค่ะ
อย่างไรก็ตาม คำถามเล็กๆ น้อยๆ เช่น สี ขนาด ราคา ในสินค้าประเภทอื่น เราก็ควรตอบลูกค้าให้ได้ดีที่สุดเช่นกัน และอย่าเลือกปฏิบัติไม่ว่าลูกค้าคนนั้นจะซื้อหรือไม่ก็ตาม การบริการที่ดีจะนำมาซึ่งความประทับใจให้กับลูกค้า และในวันข้างหน้าเขาอาจจะกลับมาร้านเราใหม่อีกครั้งก็ได้
2.2 นำเสนอสินค้า/สาธิต/ให้สัมผัส
เทคนิคการขายข้อนี้อาจจะเหมาะสำหรับการขายที่มีหน้าร้านของจริงให้ลูกค้าเข้ามาดูสินค้าได้ จิตวิทยาการซื้อของผู้ซื้อส่วนใหญ่จะตัดสินใจซื้อ/ไม่ซื้อ ต่อเมื่อได้เห็นสินค้าของจริง มีการหยิบ จับ สัมผัส หรือชิม(สินค้าประเภทของกิน) เพื่อให้ทราบว่าตรงกับสิ่งที่ตัวเองต้องการหรือไม่ ดังนั้นหากเราเป็นผู้ขาย เทคนิคนี้จึงสำคัญมากๆ ผู้ขายที่ขายอาหารก็อย่าตระหนี่ขี้เหนียว ให้เขาได้ลองชิมสินค้าของเราให้รู้กันไปเลยว่าอร่อยหรือไม่ ของแบบนี้จินตนาการเองไม่ได้หรอกค่ะ อีกอย่างถ้าซื้อไปแล้วไม่อร่อย จะสร้างชื่อ “เสีย” ให้กับร้านเราได้
ส่วนสินค้าอื่นๆ ก็ควรมีสินค้าทดลองให้ลูกค้าได้ลองใช้กัน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการขาย
2.3 การรับมือการต่อรอง
การขายของกับการต่อราคาสินค้า เป็นสิ่งคู่กันยิ่งกว่าปาท่องโก๋ โดยเฉพาะแม่บ้านและผู้หญิงเกือบทุกคนจะมีทักษะการต่อรองขั้นสูง หลายครั้งที่แม่ค้าต้องปวดหัวกับการต่อรองที่ไม่ได้เกรงใจต้นทุนของแม่ค้า ทำให้ปวดหัวไปตามๆ กัน ไม่ลดก็หาว่าหยิ่ง แต่ถ้าลดก็ขาดทุน ดังนั้นหนึ่งในเทคนิคการขายที่ควรมีอีกข้อ คือ การรับมือการต่อรองของลูกค้า
เมื่อลูกค้าเข้ามาดูสินค้า มักจะเปิดคำถามแรกว่า  “ลดหน่อยได้มั้ย” หากไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็ให้รีบบอกส่วนลดเลยเพื่อไม่ให้ต่ออีก แต่ควรมีคำสำคัญอยู่ เช่น “พี่ลดให้ได้แค่ 10 บาทค่ะ” เป็นต้น เพื่อเป็นการปกป้องตัวเองจากการต่อครั้งที่สอง และลูกค้าก็ได้คำตอบตามที่ต้องการ แต่ในรายที่ตื้อมากๆ ก็ต้องชี้แจงให้เห็นถึงต้นทุน-กำไร(อาจจะไม่ต้องเปิดเผยตัวเลขจริงๆ ก็ได้) และถ้าเห็นว่าราคานี้ไม่เวิร์กสำหรับเราจริงๆ ก็ให้ยืนยันในราคาเดิม(เท่าที่จะลดได้) และรอขายคนอื่นจะดีกว่า ซึ่งวิธีการยืนยันราคาแบบนี้ บางทีอาจกระตุ้นให้ลูกค้าเสียกาย ใจอ่อนยอมซื้อก็ได้ เพราะเข้าใจว่าสินค้านั้นลดราคาลงอีกไม่ได้จริงๆ
2.4 การปิดการขาย
เทคนิคการขายในเรื่องของการปิดการขาย ก็คือ ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าซื้อสินค้าให้ไวที่สุด ในกรณีที่ซื้อขายในอินเทอร์เน็ตเราคงทำอะไรมากไม่ได้ เพราะลูกค้าจะเป็นผู้ตัดสินใจทั้งหมด แต่การซื้อขายที่ได้ยินเสียง-เห็นหน้า เราสามารถดึงเทคนิคการปิดการขายมาใช้ได้อย่างดี เพราะการได้เห็นหน้า-น้ำเสียง จะทำให้เรารู้ความต้องการของเขาว่าอยากได้แค่ไหนและเราสามารถยื่นข้อเสนอเพื่อต่อรองได้แค่ไหน ซึ่งร้อยทั้งร้อยได้ยินแม่ค้าตื้อมากๆ เข้า ก็หลงคารมซื้อไปเลยก็มี
สำหรับเทคนิคการขายที่พอจะยกตัวอย่างมาให้ได้อ่านกัน มีดังนี้
1. บอกให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกเสียดายสินค้านั้น เช่น บอกกับลูกค้าว่า สินค้าตัวนี้เหลือตัวสุดท้ายแล้วนะ หมดแล้วหมดเลย หรือ สินค้าตัวนี้ขายดีมาก หลายคนใช้แล้วบอกว่าสุดยอด หรือ วันนี้ลดราคาเป็นวันสุดท้ายแล้ว เป็นต้น การพูดแนวๆ นี้จะทำให้ลูกค้าไขว้เขว เสียดาย แล้วรู้สึกว่าควรได้สินค้านี้มาครอบครอง
2. การให้คำชม คำชมและคำยอเป็นสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ยินมากที่สุด เพราะการเลือกสินค้าบางประเภท เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ ผู้ซื้อก็ย่อมต้องการความคิดเห็น ถ้าบอกว่าไม่สวยก็จะไม่ซื้อ แต่ถ้าได้คำชมเข้าไป แรงบันดาลใจต่อสินค้านั้นก็จะเกิด และซื้อไปในที่สุด ยังไงก็ตามการให้คำชื่นชมก็ควรให้ด้วยความจริงใจ ไม่ใช่ว่าจะขายของอย่างเดียว เช่น ลูกค้าที่มีรูปร่างอ้วนเข้ามา จะลองเสื้อที่มีขนาดตัวเล็กมองด้วยตาก็รู้ว่าเล็กกว่า แต่อยากขายก็พยายามบอกว่าใส่ได้แน่นอน แบบนี้แทนที่จะได้ผลดี อาจทำให้ลูกค้าไม่พอใจได้
3) ของแถม/ส่วนลด ได้ผลดีเสมอ  อะไรที่พอจะแถมให้ได้แลกกับการจ่ายเงินซื้อสินค้า แม่ค้าก็ควรจะยอมแลก เช่น ถ้าซื้อครีมตัวนี้ไป พี่จะแถมเทสเตอร์ให้สองซองเลย เป็นต้น การลด แลก แจก แถม จะกระตุ้นพฤติกรรมการซื้อมากขึ้น เพราะมีของฟรีมาเป็นตัวชักจูงใจ เรียกว่าแค่ได้ยินก็ตาลุกวาว ต่อมความคุ้มค่าทำงานมากกว่าปกติ
4) จะรับกี่ชิ้นดีคะ เป็นคำถามเชิงมัดมือชกเล็กๆ แต่ก็ช่วยให้ปิดการขายได้ เหมาะสำหรับการขายที่ลูกค้ามาดูสินค้าเป็นเวลานานแล้ว หากเราพูดแบบนี้ไปอาจทำให้เดความเกรงใจและยอมซื้อสินค้าเราได้
3)เทคนิคการขายหลังการซื้อขาย
โดยทั่วไปสินค้าที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมาก เมื่อขายไปแล้วก็มักจะแล้วกันไป เพราะถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์ว่า ผู้ขายได้ขาย-ผู้ซื้อได้ซื้อ แต่ความเป็นจริงความคิดนี้ผิดมหันต์ เพราะการขายที่ดี แม้จะซื้อขายกันเรียบร้อยแล้วก็ควรให้ความดูแลและให้คำปรึกษากันต่อไปได้ เพื่อให้เกิดความประทับใจสูงสุด สำหรับเทคนิคการขายหลังการซื้อขายมีดังนี้
3.1 บริการหลังการขาย หลายคนจะนึกถึงไปสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ แต่บริการหลังการขายสามารถไปประยุกต์ใช้ได้กับสินค้าบางประเภท เช่น ลูกค้าซื้อเสื้อผ้าไปแต่เสื้อผ้าตัวนั้นเป็นผ้าชนิดพิเศษ รีดยากกว่าปกติ เมื่อลูกค้าเกิดปัญหาและมาสอบถามเรา การบริการของเราก็ควรให้คำแนะนำในเรื่องการรีดผ้าให้ด้วย (ไม่ต้องถึงกับไปรีดให้) ส่วนสินค้าอื่นๆ ก็ใกล้เคียงกัน คือ ให้คำแนะนำเมื่อเกิดปัญหา ให้ความรู้ในเรื่องการดูแลรักษา
นอกจากนี้นโยบายการเปลี่ยนสินค้าต่างๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการบริการหลังการขาย ในกรณีที่สินค้าชำรุดหรือไม่ได้มาตรฐาน เพื่อแสดงความรับผิดชอบในตัวสินค้า ให้ผู้ซื้อได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แต่ยังไงก็ตามควรตั้งกฎกติกาและรายละเอียดขึ้นมาให้ชัดเจนด้วย ป้องกันการแอบอ้าง ที่จะส่งผลเสียต่อร้านของตัวเอง
3.2 จำลูกค้า/รักษาลูกค้าไว้ จะดีแค่ไหนถ้าเราเป็นลูกค้าของที่ไหนซักที แล้วพได้หวนกลับไปอุดหนุนใหม่ แล้วเขาจำเราได้ ฉันใดก็ฉันนั้นทุกคนย่อมมีความรู้สึกนี้ หากเรามีลูกค้ามาซื้อสินค้าของเรา ก็ไม่ควรให้ทุกอย่างผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ ลองจำรูปร่างหน้าตา หรือพูดคุยทักทายเล็กๆ ก็จะช่วยให้เรารู้จักตัวตนคนนั้นมากขึ้น เมื่อลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าเราอีกครั้ง หากเราจำเขาได้ จะยิ่งทำให้เขาประทับใจและรู้สึกดีกับเรา ตัวอย่างการทักก็เช่น “น้องแดง ช่วงนี้เป็นไง หายไปตั้งนาน” เป็นต้น แต่ถ้าเราไม่รู้จักชื่อของเขา อาจจะพูดย้อนไปเตือนความจำในอดีตเล็กน้อย เช่น “สวัสดีค่ะ เสื้อที่ซื้อไปครั้งที่แล้ว ใส่แล้วเป็นไงบ้างคะ” ลูกค้าอาจจะตะลึงกับความจำของเรา แต่เขาก็จะรู้สึกดีเพราะแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจ และยินดีที่จะเป็นคนพิเศษให้เราจดจำต่อไป
3.3 แถมของเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังคงคอนเซปท์เดิมของเทคนิคการขาย คือ การลด แลก แจก แถม ซึ่งอาจจะทำโดยมีเงื่อนไข หรือ ไม่มีเงื่อนไขก็ได้ แบบมีเงื่อนไข เช่น ซื้อครบเท่านี้เราจะแถมให้นะ ส่วนแบบไม่มีเงื่อนไข ก็ให้เพราะอยากให้ การแถมของเล็กๆ น้อยๆ ให้หลังซื้อเป็นเทคนิคอีกอย่างที่สร้างความประทับใจได้ เพราะลูกค้าจะไม่ได้คาดหวังมาก่อนว่าจะได้ พอได้กลายมาเป็นผู้รับโดยไม่ตั้งใจ เขาก็จะรู้สึกดีนั่นเอง
สรุปแล้วเทคนิคการขาย เป็นสิ่งที่ผู้ขายควรปฏิบัติอยู่เสมอเพื่อให้การขายของตัวเองมีประสิทธิภาพและเพิ่มยอดขายได้ โดยรวมนั้นหลักใหญ่ที่สุด คือ การทำให้ผู้ซื้อรู้สึกถึงความคุ้มค่าในการซื้อ จึงเป็นที่มาของโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ต่างๆ อีกประการหนึ่ง คือ การสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า ทั้งระหว่างการซื้อขาย จากการให้บริการและคำแนะนำสินค้า รวมไปถึงการซื้อขาย ด้วยการให้บริการหลังการขายในรูปแบบต่างๆ




การดูแลรักษา

การดูแลรักษา

เมื่อหยอดเมล็ดแล้วต้องรดน้ำให้ชุ่มเมื่อแตงโมขึ้นมา มีใบจริง 2-3 ใบ ถอนแยกให้เหลือหลุมละ 2-3 ต้น โดยคัดเลือกเอาแต่ต้นแข็งแรงไว้ แต่ถ้าปลูกให้ต้นห่างกัน 90 เซนติเมตร และแถวห่างกัน 3 เมตรแล้ว ก็เหลือหลุมละ 3 ต้นได้ รวมแล้วในเนื้อที่ 1 ไร่ จะมีต้นแตงโมอยู่ประมาณ 1,700 ต้น
วิธีช่วยให้เมล็ดแตงโมงอกเร็วขึ้น
สำหรับผู้ที่หยอดเมล็ดแตงโมในฤดูหนาว มักจะพบว่าแตงโมงอกช้า หรือไม่งอกเลย ทั้งนี้เพราะว่า ถ้าอุณหภูมิในดินปลูกต่ำกว่า 15.5 องศาเซลเซียส เมล็ดแตงโมจะไม่งอกโดยธรรมชาติ ฉะนั้นเพื่อขจัดปัญหาเมล็ดไม่งอกในฤดูหนาวควรทำการหุ้มเมล็ดโดยแช่เมล็ดแตงโมในน้ำอุ่น แล้วทิ้งไว้ 1 วันกับ 1 คืน แล้วเอาผ้าเปียกห่อวางไว้ที่อื่น ๆ ในบ้าน จะช่วยทำให้เมล็ดแตงโมงอกได้เร็วขึ้น และงอกได้อย่างสม่ำเสมอ เมื่อรากเริ่มโผล่ออกมาจากเมล็ด ก็เอาไปเพาะในถุงหรือกระทงใบตองได้ รอจนกล้ามีใบจริงแล้ว 2-3 ใบ จึงนำลงปลูกในไร่ หรือหากไม่สะดวกเพราะต้องการประหยัดแรงงาน ก็อาจนำเมล็ดที่งอกนั้นไปปลูกในแปลงได้เลย โดยหยอดลงในหลุมแบบเดียวกับหยอดเมล็ดที่ยังไม่งอก แต่ต้องให้น้ำในหลุมที่จะหยอดล่วงหน้าไว้ 1 วัน เพื่อให้ดินในหลุมชื้นพอเหมาะ หยอดเมล็ดที่งอกแล้วกลบดินทับหนาไม่เกิน 1 เซนติเมตร แล้วรดน้ำ ต้นแตงโมจะขึ้นมาสม่ำเสมอกันทั้งไร่
ปุ๋ยและการให้ปุ๋ยแตงโม
ปุ๋ยคอก การใส่ปุ๋ยคอกให้แก่แตงโมก็มีความสำคัญมาก เพราะปุ๋ยคอกช่วยทำให้ดินร่วนโปร่ง ช่วยทำให้ดินมีธาตุอาหารมากขึ้น แล้วยังช่วยทำให้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์อยู่ในสภาวะสมดุลเป็นประโยชน์ต่อพืชมากขึ้นด้วย ควรใส่ปุ๋ยคอกในพื้นที่ปลูกจริง อัตราไร่ละ 2-4 ตัน
ปุ๋ยวิทยาศาสตร์หรือปุ๋ยเคมี ควรใช้ปุ๋ยเคมีอัตราส่วน 1 : 1 : 2 ซึ่งได้แก่ปุ๋ยเคมี สูตร 10-10-20 เป็นต้น หรือใช้ปุ๋ยสูตรใกล้เคียงได้ เช่น ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ใส่ในอัตราไร่ละ 100-150 กิโลกรัม จะตัดสินใจใส่ปุ๋ยมากหรือน้อยก็ต้องดูความอุดมสมบูรณ์ของดิน และราคาแตงโมประกอบกันด้วย ปกติแล้วจะใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ประมาณ 120-150 กก./ไร่ต่อฤดูปลูก
วิธีการใส่ปุ๋ยให้กับต้นแตงโม
ผู้ปลูกแตงโมส่วนใหญ่ยังนิยมใส่ปุ๋ยเคมี ลงบนผิวดิน โดยหว่าน หรือวางเป็นกระจุกหน้าดิน แล้วรดน้ำเพื่อให้ปุ๋ยละลายน้ำลงไปสู่รากแตงดม การใส่ปุ๋ยวิธีดังกล่าวนี้ เป็นวิธีที่จะทำให้เปลืองปุ๋ยมาก รากพืชจะได้รับธาตุไนโตรเจนกับโปแตสเซียมจากปุ๋ยเคมีเท่านั้น แต่จะไม่ได้รับธาตุฟอสฟอรัสจากปุ๋ยเคมีนั้นเลย หรือได้รับก็ได้รับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะตามปกติธาตุฟอสฟอรัสจะไม่เคลื่อนย้ายจากผิวหน้าดินลงไปสู่รากแตงโมแต่อย่างใด ซึ่งธาตุฟอสฟอรัสนั้นก็เป็นธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของแตงโมมากพอสมควรทีเดียว
ฉะนั้น การใส่ปุ๋ยเคมี จึงควรใส่ไว้ใต้ดินเป็นกลุ่ม ๆ เช่น ใส่รองก้นหลุมก่อนปลูก หรือใส่ไว้ใต้ผิวดินห่างจากโคนต้นแตงโม สัก 1 ฟุต ใส่เป็นกลุ่ม แตงโมจะได้รับปุ๋ยอย่างเต็มที่
ปุ๋ยที่ใส่เสริมหลังปลูก
ต้องคำนึงถึงอยู่เสมอว่า รากแตงโมส่วนใหญ่เดินตามแนวนอนขนานกับผิวดิน และเถาของมัน ฉะนั้นการใส่ปุ๋ยหลังปลูกควรใส่ที่ปลายราก และต้องไม่ใส่มากจนปุ๋ยเข้มข้นเกินไป และต้องให้ปุ๋ยอยู่ในรูปที่ค่อย ๆ ละลายน้ำ เพื่อให้รากดูดซับเอาไปใช้ได้พอดี
เวลาของการใส่ปุ๋ยเพิ่มภายหลังปลูก
  • การใส่ปุ๋ยเสริมครั้งที่ 1 ใส่แบบโรยรอบต้นด้วยยูเรีย ใส่เมื่อต้นแตงโมมีใบจริงประมาณ 5 ใบ (ปุ๋ยยูเรียโรยที่ผิวดินได้)
  • การใส่ปุ๋ยเสริมครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ยยูเรียด้านข้างแถวของต้นแตงโมใส่เมื่อเถาแตงโมทอดยาวได้ประมาณ 1 ฟุต ควรพรวนดินก่อนแล้วจึงใส่ปุ๋ยแล้วปิดคลุมด้วยฟาง
  • การใส่ปุ๋ยเสริมครั้งที่ 3 ใส่ปุ๋ยยูเรียและโปแตสเซียมคลอไรด์ โดยใส่ด้านข้างแถวของต้นแตงโม ใส่เมื่อเถาแตงโมมีความยาวได้ประมาณ 7 ฟุต หรือประมาณ 90 เซนติเมตร (ปุ๋ยทั้งสองชนิดนี้โรยบนผิวดินได้)
การให้น้ำและการดูแลรักษาแปลง
ตามธรรมชาติต้นแตงดมต้องการผิวดินชุ่มชื้น แต่ไม่ถึงกับแฉะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ผลแตงโมกำลังเจริญเติบโต เป็นตอนที่ต้นแตงโมต้องการน้ำมากการให้ความชุ่มชื้นแก่ดินในแปลงควรให้ทั้งแปลงเพื่อป้องกันไม่ให้หน้าดินแห้งแข็งและจับปึก ซึ่งจะทำให้ดินขาดอากาศอ๊อกซิเจน ถ้าดินขาดอากาศเมื่อใด รากแตงโมจะหยุดชะงักการเจริญเติบโตเมื่อนั้น ซึ่งหมายถึงว่าต้นแตงโมจะได้รับน้ำ และธาตุอาหารอยู่ในขอบเขตที่จำกัดไปด้วย ดินที่ขาดน้ำแล้วแห้งแข็งทำให้ขาดอากาศไปด้วยนั้นคือดินเหนียว และดินที่ค่อนข้างหนัก ส่วนดินทรายและดินร่วนทราย รากแตงโมจะไม่ขาดอากาศ แม้ว่าจะขาดน้ำก็ตาม ดินร่วนทรายและดินทรายสามารถไถพรวนในหน้าดินลึกมาก ๆ ได้ เพื่อให้สามารถยึดจับความชื้นที่เราให้ไว้ได้มากขึ้น ส่วนดินเหนียวนั้นไม่สามารถไถพรวนให้ลึก เท่าดินทราย หรือดินร่วนทรายได้ เพราะเนื้อดินทั้งเหนียวและแน่นอุ้มน้ำไว้ในตัวได้มากกว่าดินทราย แต่ก็คายน้ำออกจากผิวดินได้ไวมาก และดูดซับความชื้นได้ตื้นกว่าดินทราย หรือดินร่วนทราย จึงทำให้ต้องให้น้ำกับต้นแตงโมที่ปลูกในดินเหนียวมากกว่า คือต้องให้น้ำอย่างน้อย 5 วันครั้ง หรือรดน้ำทุกวัน ๆ ละครั้ง
ประโยชน์ของการคลุมด้วยฟาง
เมื่อเถาแตงโมเจริญเติบโตได้ระยะหนึ่ง เราควรจะปิดคลุมหน้าดินด้วยฟาง การคลุมดินด้วยฟางจะมีผลดังนี้ คือ
  • ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในดินให้คงอยู่ได้นาน ทำให้รากแตงโมดูดซับธาตุอาหารในดินได้ติดต่อกันโดยไม่ขาดตอน
  • ทำให้ต้นแตงโมเป็นโรคทางใบน้อยลง เพราะต้นและเถาเลื้อยอยู่บนฟางไม่ได้สัมผัสกับดิน
  • ป้องกันไม่ให้ดินร้อนจัดเกินไป
  • เป็นการรองผลทำให้สีของผลสม่ำเสมอ
  • ควบคุมไม่ให้หญ้าขึ้นและเจริญเติบโตมาแข่งกับแตงโม เพราะแตงโมแพ้หญ้ามากเนื่องจากหญ้าส่วนใหญ่มีใบปรกดิน เถาแตงโมนั้นทอดนอนไปกับผิวดิน หากหญ้าขึ้นคลุมแตงโมเมื่อใด หญ้าจะบังใบแตงโมไม่ให้ถูกแดดทำให้ใบแตงโมปรุงอาหารไม่ได้เต็มที่ และจะอ่อนแอลงทันทีในที่สุดจะตายหมด ภายในเวลา 2-3 สัปดาห์ เท่านั้น
การคลุมฟางจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของแตงโมมาก ในต่างประเทศนิยมใช้พลาสติกสำหรับคลุมแปลง ซึ่งสะดวกในการปฏิบัติมาก และขณะนี้วัสดุดังกล่าวเริ่มนำมาใช้ในการปลูกแตงเทศในภาคเหนือของประเทศไทยแล้ว


วิธีการ ปลูกแตงโม

วิธีการ ปลูกแตงโม




แตงโม (Citrullus lanatus) เติบโตบนเถาเต็มไปด้วยใบหงิกกว้าง พวกมันชอบอากาศร้อนและสามารถเจริญเติบโตได้ดีโดยไม่ต้องดูแลมากนัก บทความนี้จะนำเสนอวิธีการปลูก และดูแลแตงโมให้แก่คุณ  

1.เตรียมความพร้อมเพื่อการปลูก



1

เลือกพันธุ์ของแตงที่ต้องการปลูก. ผลไม้ชนิดนี้มีขนาดตั้งแต่ 1.3 ถึง 32 กิโลกรัม มีทั้งเนื้อสีแดงและสีเหลือง แตงโมพันธุ์จูบิลี, ชาร์ลิสตอน เกรย์ และคอนโก้ มีขนาดใหญ่เป็นรูปทรงกระบอก ในขณะที่พันธุ์ชูก้า และไอซ์บอกซ์ ทั้งสองพันธุ์มีขนาดเล็กเป็นทรงกลม
  • ตัดสินใจว่าจะเพาะเมล็ด หรือย้ายต้นมาปลูก. [1] เมล็ดแตงโมต้องการเพาะตัวในอุณหภูมิสูงกว่า 21 องศาเซลเซียส หากคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีภูมิอากาศหนาวเย็น แน่นอนว่าคุณจะต้องเตรียมการในที่ร่มให้ดีเป็นสัปดาห์ก่อนที่ช่วงแม่คะนิ้งยามเช้าจะหมดไป จะทำให้คุณได้ต้นกล้าที่พร้อมสำหรับฤดูกาลเพาะปลูก หรือวางแผนปลูกเมล็ดแตงโมลงดินโดยตรงหลังช่วงหมดฤดูที่เกิดแม่คะนิ้ง เมื่ออุณหภูมิขึ้นมาราวๆ 21 องศาเซลเซียส
  • เมล็ดแตงโมและต้นที่พร้อมย้ายมาปลูก มีจำหน่ายที่ร้านเพาะชำในช่วงใกล้ฤดูใบไม้ผลิต


2

เลือกสถานที่ปลูก. แตงโมเป็นพืชที่ต้องการแสงแดดอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน มันจะผลิตเถากระจายตัวออกเป็นวงกว้าง ควรเว้นระยะประมาณ 48 ถึง 72 นิ้ว สำหรับแต่ละต้น เว้นเสียแต่ว่าคุณเลือกปลูกแตงโมพันธุ์เล็ก
3
เตรียมดิน. ใช้อุปกรณ์เตรียมหน้าดินให้พร้อมสำหรับการปลูกแตงโม ถางดินที่เกาะเป็นก้อนบนพื้นแน่นๆ ให้ร่วนซุย กำจัดพวกวัชพืชตามหน้าดิน หรือที่ฝังลึกลงในดินออก
  • แตงโมชอบดินทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ และระบายน้ำได้ดี เพื่อดูว่าดินมีการระบายน้ำดีหรือเปล่า ให้สังเกตว่าหลังฝนตกหนักมีแอ่งน้ำเกิดขึ้นบนดินหรือไม่ หากมีแสดงว่าดินตรงนั้นยังมีการระบายน้ำไม่เพียงพอ
  • เพื่อให้ดินอุดมสมบูรณ์ในระยะยาว ให้ผสมเนื้อดินกับหน้าดิน [2]
  • แตงโมเติบโตได้ดีในดินที่มีค่ากรด-ด่าง (pH) 6.0 ถึง 6.8 ทดสอบค่ากรด-ด่างของดินเพื่อดูว่าเหมาะแก่การปลูกแตงโมหรือไม่ หากไม่เหมาะสมสามารถเปลี่ยนค่ากรด-ด่างของดินได้โดยการเติมสารประกอบซึ่งหาซื้อได้จากร้านเพาะชำต้นไม้

2
ปลูกต้นแตงโม


2.การปลูกต้นแตงโม




1
สร้างเนิน. ใช้รถแทรกเตอร์ หรือจอบ สร้างเนินเพื่อปลูกเมล็ด เว้นระยะประมาณ 60 เซนติเมตร ถึง 1.8 เมตร ขึ้นอยู่กับพื้นที่ของคุณ เตรียมดินบนพื้นที่ปลูกของคุณเพื่อให้มั่นใจว่าดินร่วนซุยพอที่รากจะเติบโตได้ และออกซิเจนสามารถผ่านได้สะดวก ปล่อยให้ความชื้นในดินระบายออกเพื่อไม่ให้ถูกรากโดยตรง เพื่อรักษาความชื้นในอากาศที่แห้ง


2
ปลูกต้นแตงโม


2
หว่านเมล็ด. ทำพื้นที่ราบบนยอดเนินให้เว้า จากนั้นขุดหลุมด้วยเครื่องมือ หรือนิ้วมือของคุณประมาณ 1 นิ้ว (2.5 เซนติเมตร) ใส่เมล็ดลงไป 1 ถึง 4 เมล็ดในหนึ่งหลุม กลบหน้าดินบนหลุมที่ใส่เมล็ดแล้วบางๆ เพื่อรักษาความชื้นที่ระเหยอย่างรวดเร็วรอบๆ เมล็ด


3
มองหาเมล็ดที่แตกหน่อ. เมล็ดจะแตกหน่อ และปรากฏให้เห็นประมาณ 7-10 วัน ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของดิน และความลึกที่ปลูก รักษาความชื้นของดินรอบๆ เมล็ดระหว่างที่แตงโมอยู่ในช่วงกำลังแตกหน่อ น้ำก็ต้องเพียงพอเพื่อที่จะไปถึงรากเล็กๆ ที่กำลังเจริญเติบโต
  • เมื่อต้นอ่อนเจริญเติบโต ให้เลือกเพียงสองต้นที่แข็งแรงที่สุด เพื่อให้ต้นที่แข็งแรงที่สุดมีพื้นที่เติบโตขึ้นต่อไป
  • อย่าปล่อยให้ดินแห้ง ควรรดน้ำอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อวัน

4
คลุมดินแต่ละเนินตามความเหมาะสมหลังต้นอ่อนสูงประมาณ 4 นิ้ว (10 เซนติเมตร). คุณสามารถเลือกใช้ฟางจากใบสน ผ้าสาลูชนิดบาง หรือเอามาผสมกันก็ได้ โดยนำมาคลุมดินให้ใกล้กับต้นอ่อนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อป้องกันวัชพืช เพื่อรักษาความชื้น และเพื่อไม่ให้ดินร้อนจนเกินไปจากการโดนแดดโดยตรงรอบๆ ผิวดินที่มีรากใหม่

5
รดน้ำน้อยลงเมื่อเริ่มออกดอก. หลังจากแตงโมออกดอกให้รดน้ำทุกๆ 3 วันโดยประมาณหากพบว่าดินแห้ง อย่างไรก็ตามอย่าให้น้ำมากเกินไป เพราะแตงโมต้องการน้ำน้อย
  • ดูแลใบและผลให้แห้ง คุณสามารถวางผลบนไม้สะอาดๆ หินเรียบที่กว้างๆ บนอิฐ หรืออื่นๆ ก็ได้
  • ในวันที่อากาศร้อนมากๆ ใบอาจเฉาได้แม้ว่าดินจะชื้นก็ตาม หากต้นแตงโมยังดูแห้งเหี่ยวในตอนเย็นหลังวันนั้น ให้รดน้ำจนชุ่มไปเลย
  • ความหวานในแตงโมสามารถเพิ่มขึ้นได้ด้วยการงดน้ำในช่วงสัปดาห์ก่อนเก็บเกี่ยว อย่างไรก็ตาม อย่ารดน้ำแม้จะเห็นว่าเถาของแตงโมเฉาก็ตาม เมื่อทำการเก็บเกี่ยวแล้ว ให้รดน้ำตามปกติเพื่อรอการเก็บเกี่ยวในรอบต่อไป
6
กำจัดวัชพืชเป็นประจำ. หมั่นกำจัดวัชพืชรอบๆ ต้น และตามทางที่เถาของแตงโมเลื้อยไป

การเพาะเมล็ด



การเพาะเมล็ดแตงโมง่ายๆด้วยตนเอง




 เมล็ดแตงโมเป็นอาหารว่างที่อร่อยมาก เมื่อนำไปอบใส่เกลืออย่างที่ทุกท่านเคยซื้อทานเล่นเป็นอาหารว่างในเวลาพักผ่อน รสชาติจะหอมมันอร่อย ส่วนแตงโมสดก็เป็นผลไม้สดที่อร่อยเช่นเดียวกัน นำมาคั้นเป็นน้ำแตงโม หรือนำไปปั่นเป็นสมูตตี้ก็อร่อยได้หลากหลายเช่นเดียวกัน เชื่อว่าทุกท่านเคยรับประทานแตงโมสด และมักจะเบื่อหน่ายกับเวลาที่ต้องแคะเมล็ดออก สำหรับคนที่ไม่ชอบรับประทานทั้งเมล็ด อย่างผู้เขียนเองก็เช่นเดียวกันไม่ชอบทานเมล็ดต้องคอยแคะออกเวลาทานแตงโมสดและมักจะเห็นว่าเมล็ดแตงโมที่เราแคะออกมานั้นไม่มีประโยชน์อะไรแล้วก็นำไปทิ้ง แต่จริงๆแล้วเราสามารถนำเมล็ดไปเพาะเพื่อนำไปปลูกได้ สำหรับผู้อ่านท่านใดสนใจ เรามีวิธีการเพาะเมล็ดแตงโมมาฝาก





 เมื่อเรารับประทานแตงโมสด ให้แคะเมล็ดออกมารวมเอาไว้จนหมดทั้งลูก จากนั้น ไปเตรียมดินเป็นดินที่ผสมปุ๋ยคอกหรือเป็นดินสำเร็จรูปที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายพืชพรรณต่างๆ นำดินใส่กระถาง หรือถ้าถนัดปลูกในแปลงก็สามารถปลูกได้เลยหลังจากนั้นขุดหลุมเล็กๆ หรือนำช้อนโต๊ะมาขุดดินให้เป็นหลุมลึกประมาณ1.5 เซนติเมตร ไม่ต้องลึกมาก นำเมล็ดที่เราคัดแยกไว้นำมาหยอดลงหลุมประมาณ 4-5 เมล็ด กลบดินให้เสมอแล้วรดน้ำ ดูแลอย่างสม่ำเสมอ อย่าลดน้ำจนมากเกินไป เพราะจะทำให้เมล็ดชื้นและเกิดเชื้อราทำให้เมล็ดเน่าได้ รอให้เมล็ดงอกเป็นต้นกล้าเล็กๆ พอต้นเริ่มโต สำหรับท่านใดที่ปลูกในกระถางก็ให้ย้ายลงแปลง แต่ถ้าปลูกในแปลงอยู่แล้ว ก็หมั่นดูแลเอาใจใส่ไปจนกว่าต้นจะเจริญเติบโตเต็มที่

สายพันธุ์แตงโม






แตงโมเป็นพืชในวงศ์เดียวกับแคนตาลูปและฟัก เป็นพืชล้มลุกเป็นเถา อายุสั้น เถาจะเลื้อยไปตามพื้นดิน มีขนอ่อนปกคลุม ผลมีทั้งทรงกลมและทรงกระบอก เปลือกแข็ง มีทั้งสีเขียวและสีเหลือง บางพันธุ์มีลวดลายบนเปลือก ในเนื้อมีเล็ดสีดำแทรกอยู่ 
 แตงโมที่เกษตรกรปลูกอยู่ในปัจจุบันมีอยู่หลายสายพันธุ์โดยแต่ละสายพันธุ์จะมีลักษณะเฉพาะและมีความแตกต่างกัน ดังนี้
แตงโมพันธุ์จินตรา ลักษณะผิวลายสีขาว ผลโต เนื้อละเอียดสีแดง กรอบ เปลือกอ่อน ผลกลมมีน้ำหนัก 4-6 กิโลกรัม

แตงโมพันธุ์กินรี
   ลักษณะลายดำ แถบดำ ผลโต เนื้อละเอียดสีแดง กรอบ เปลือกอ่อน ผลกลมมีน้ำหนัก 
   4-6 กิโลกรัม

แตงโมพันธุ์ตอปิโด 
ลักษณะเปลือกแตงโมจะทนต่อการขนย้าย ผิวลายเกือบดำ ผลเรียวยาว

แตงโมพันธุ์ซ่อนย่า
ลักษณะผลกลม ผิวแถบสีเขียวเข้ม เปลือกแข็ง เนื้อสีแดง




จัดทำโดย

นางสาวนฤมล ชุ่มมงคล เลขที่7 ม.5/1